วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ของแข็ง ของเหลว ก๊าซ

ของแข็ง    หมายถึง สารที่มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคมาก   อนุภาคอยู่ใกล้ชิดกัน  ดังนั้นจึงมีรูปร่างและปริมาตรของมันเอง โดยไม่เปลี่ยนไปตามรูปร่างของภาชนะที่บรรจุ 

ของเหลว  หมายถึง  สารที่มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคน้อยกว่าของแข็ง   อนุภาคไม่ได้อยู่ชิดกันอย่างของแข็ง  จึงมีปริมาตรที่แน่นอน  แต่มีรูปร่างไม่แน่นอน  เปลี่ยนแปลงไปตามภาชนะที่บรรจุ 

ก๊าซ  หมายถึง  สารที่มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคน้อยมาก   อนุภาคฟุ้งกระจายจนเต็มภาชนะที่บรรจุตลอดเวลา   มีปริมาตรและรูปร่างไม่แน่นอน  เปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะของภาชนะที่บรรจุ 

ทฤษฎีจลน์ของก๊าซ   ( The  Kinetic  Theory  of  Gases )   ใช้อธิบายสมบัติทางกายภาพของก๊าซ

1.  ก๊าซประกอบด้วยอนุภาคเล็ก ๆ  เป็นจำนวนมาก  อนุภาคเหล่านี้อยู่ห่างกันมากและไม่มีแรงกระทำต่อกัน
2.  โมเลกุลของก๊าซมีมวล  และมีขนาดเล็กมาก  จนถือว่าโมเลกุลเป็นศูนย์ 
3.  โมเกลุของก๊าซเคลื่อนที่อย่างอิสระ  ด้วยอัตราเร็วคงที่ตลอดเวลาในแนวเส้นตรง
 
4.  เมื่อโมเลกุลของก๊าซชนกันเอง หรือ ผนังของภาชนะ  จะมีการถ่ายเทพลังงานจลน์ระหว่างกันได้  แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นพลังงานรูปอื่น

5.  ที่อุณหภูมิเดียวกันก๊าซทุกชนิดจะมีพลังงานจลน์เฉลี่ยเท่ากัน  และแปรผันตรงกับอุณหภูมิเคลวิน  E = mv2
6.   ความดันของก๊าซจะเกิดจากการที่โมเลกุลเคลื่อนที่ชนผนังภาชนะเท่านั้น   การชนกันเองจะไม่ทำให้เกิดความดัน   โดยความดันจะสูงถ้าโมเลกุลชนผนังด้วยความเร็วและความแรงสูง  รวมถึงความถี่ในการชนผนังภาชนะสูง

กฎของบอยล์ (Boyle , s  Law) 

“  เมื่อใช้อุณหภูมิและมวลของก๊าซคงที่  ปริมาตรของก๊าซจะแปรผกผันกับความดัน  ”                             
                                    P1V1   =   P2V2   =   P3V3   
           
กฎของชาร์ลส์ (Charles , law)
                       
                        “ เมื่อความดันและมวลของก๊าซคงที่  ปริมาตรของก๊าซจะแปรผันโดยตรง  กับอุณหภูมิเคลวิน ”
                                              
                                =     =     

 กฎของเกย์ลุสแซก (Gay -  Lussac, s  Law)
                         
            “  เมื่อปริมาตรและมวลของก๊าซคงที่  ความดันของก๊าซจะแปรผันโดยตรงกับอุณหภูมิเคลวิน  ”
                                                           
                                        =       หรือ       =  
                         
กฎของอาโวกาโดร (Avogadro, s  law)
           
            “ เมื่ออุณหภูมิและความดันคงที่  ปริมาตรของก๊าซจะแปรผันโดยตรงกับปริมาณ  (จำนวนโมล)  ของก๊าซนั้น ”
                        
                                      =          หรือ      =  

กฎรวมของก๊าซ และ สมการภาวะของก๊าซอุดมคติ    (Combined  gas  law : equation  state  of  ideal  gas)

            กฎรวมก๊าซ เป็นการนำกฎของบอยล์และกฎของชาร์ลส์มารวมกัน  เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง  P , V  และ  T   
             
          
            ใช้ความสัมพันธ์ดังนี้                          =     


สมการภาวะของก๊าซอุดมคติ
                      
                       PV    =    nRT
                               

ทฤษฎีจลน์กับกฎของบอยล์

ที่อุณหภูมิคงที่ โมเลกุลของก๊าซชนิดเดียวกันจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเฉลี่ยคงที่ เมื่อทำให้ปริมาตรของก๊าซลดลงโดยที่จำนวนโมเลกุลเท่าเดิม โมเลกุลที่อยู่ในภาชนะจะอัดกันแน่นมากขึ้น และมีโอกาสชนกับผนังบ่อยครั้งขึ้น หรือมีความดันเพิ่มขึ้น   และเมื่อทำให้ปริมาตรเพิ่มขึ้นจะก่อให้เกิดที่ว่างมากขึ้น เป็นผลทำให้โมเลกุลชนกับผนังภาชนะน้อยลง ซึ่งความดันจะลดลง
ทฤษฎีจลน์กับกฎของชาร์ลส์

เมื่ออุณหภูมิของก๊าซเพิ่มขึ้นจะทำให้ความเร็วเฉลี่ยของโมเลกุลของก๊าซเพิ่มขึ้น โมเลกุลจึงชนกับผนังของภาชนะได้บ่อยและแรงขึ้น ทำให้ความดันภายในภาชนะเพิ่มขึ้น เมื่อความดันเพิ่มจนมากกว่าความดันภายนอก ก๊าซในระบบจะขยายตัวออกเพื่อรักษาความดันให้คงที่ (ความดันภายในเท่ากับความดันภายนอก)  ปริมาตรของก๊าซจึงเพิ่มขึ้น  ในทำนองเดียวกันเมื่อลดอุณหภูมิ โมเลกุลของก๊าซจะเคลื่อนที่ช้าลงทำให้อัตราการชนผนังภาชนะลดลง ความดันของระบบจึงลดลง
            ดังนั้น  ก๊าซในระบบจึงหดตัวลงเพื่อจะทำให้ความดันคงที่  ปริมาตรของก๊าซจึงลดลง
ทฤษฎีจลน์กับกฎของเกย์ – ลูสแซก
            เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น  พลังงานจลน์และความเร็วเฉลี่ยของโมเลกุลเพิ่มขึ้น  อัตราการชนผนังภาชนะและความเร่งในการชนเพิ่มขึ้น  แต่ปริมาตรภาชนะคงที่จึงทำให้ความดันของก๊าซในระบบเพิ่มขึ้น